คลังผลงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร

รายงานผลงานวิจัยและพัฒนา

การบูรณาการเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยจังหวัดอุทัยธานี

คำหลัก :

ผู้วิจัย : สุภาพร สุขโต

ผู้ร่วมวิจัย : สมบัติ บวรพรเมธี,ทักษิณา ศันสะยวิชัย,ปรีชา กาเพ็ชร,วารุณี ภู่พราหมณ์,สงัด ดวงแก้ว

หน่วยงาน : ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุทัยธานี ศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่น

ปี: 2558

ประเภทผลงาน: ผลงานวิจัยเรื่องเต็ม

จำนวนผู้อ่าน: 3 ครั้ง

บทคัดย่อ (Abstract)

          ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุทัยธานีได้ดำเนินงานการบูรณาการเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยจังหวัดอุทัยธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้เทคโนโลยีการผลิตอ้อยและสามารถเพิ่มผลผลิตได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 เริ่มตุลาคม 2556 ถึงกันยายน 2558 จากการวิเคราะห์และการสำรวจพื้นที่ปลูกอ้อยใน 4 อำเภอ ได้แก่ บ้านไร่ ห้วยคต ลานสัก และสว่างอารมณ์ มีสองสภาพพื้นที่ คือ สภาพพื้นที่ไร่ และสภาพพื้นที่นา สัมภาษณ์เกษตรกร จำนวน 185 ราย พบว่า พันธุ์อ้อยที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นขอนแก่น3 และแอลเค92-11 และเตรียมพันธุ์เอง พื้นที่สภาพไร่ อาศัยน้ำฝน เปลี่ยนข้าวเป็นอ้อย ฤดูปลูกตั้งแต่พฤศจิกายนถึงธันวาคม และพฤษภาคมถึงมิถุนายน ระยะปลูก 1.30 – 1.50 เมตร ใช้เครื่องจักรปลูกอ้อย และใช้ปุ๋ยเคมีที่ขายตามท้องตลาดพบหนอนกอ และโรคใบขาวระบาด ผลผลิตเขตน้ำฝน 5 - 15 ตันต่อไร่ ส่วนน้ำเสริมให้ผลผลิต 10 - 20 ตันต่อไร่ การตัดแบบเผา ต้นทุนการผลิตอ้อย 7,367.50 บาทต่อไร่ เกษตรกรยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการ การใช้ปุ๋ยอย่างถูกต้องและเหมาะสม ส่วนการทำแปลงพันธุ์ขอนแก่น3 ปลูกในดินร่วนปนทราย และดินร่วนเหนียว ส่วนใหญ่เป็นดินด่าง มีความอุดมสมบูรณ์ของดินสูง มีธาตุอาหารในดินในปริมาณปานกลาง อ้อยแปลงพันธุ์ให้ผลผลิตอ้อยเฉลี่ย 19.93 ตันต่อไร่ จำนวน 12,723 ลำต่อไร่ ความสูงต้น 279.19 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำ 30.02 มิลลิเมตร และน้ำหนักต่อลำ 1.60 กิโลกรัม ความหวาน (Brix) 21.19 เปอร์เซ็นต์ เกษตรกรมีความพึงพอใจเทคโนโลยีทางด้านพันธุ์และปุ๋ยทั้งหมด 5 ราย คิดเป็นร้อยละ 100 ส่วนการทดสอบเทคโนโลยี ใช้พันธุ์ขอนแก่น3 และใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน โดยใช้ 18-46-0 และ 0-0-60 เป็นปุ๋ยรองพื้น ส่วน 46-0-0 แต่งหน้าเมื่ออ้อยอายุ 1 และ 3 เดือนหลังปลูก พบว่า ผลผลิตอ้อยกรรมวิธีทดสอบและกรรมวิธีเกษตร ให้ผลผลิตเฉลี่ยใกล้เคียงกัน คือ 20.16 และ 20.06 ตันต่อไร่ จึงทำให้มีรายได้ใกล้เคียงกัน คือ 16,131 และ 16,051 บาทต่อไร่ ตามลำดับ แต่กรรมวิธีเกษตรกรมีต้นทุนการผลิตสูงกว่ากรรมวิธีทดสอบโดยมีต้นทุนการผลิต 11,962 และ 11,740 บาทต่อไร่ ตามลำดับ จึงทำให้กรรมวิธีทดสอบมีผลตอบแทนเฉลี่ย 4,391 บาทต่อไร่ สูงกว่ากรรมวิธีเกษตรกรที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย 4,089 บาทต่อไร่ แต่อัตราผลตอบแทนต่อการลงทุนมีค่าใกล้เคียงกัน คือ กรรมวิธีทดสอบและกรรมวิธีเกษตรกร ให้อัตราผลตอบแทนต่อการลงทุน 1.37 และ 1.34 ตามลำดับ จากผลการทดสอบเทคโนโลยีเกษตรกรมีความพึงพอใจในเทคโนโลยีการเตรียมแปลงพันธุ์ร้อยละ 100 พันธุ์ร้อยละ 80 และการจัดการธาตุอาหาร คิดเป็นร้อยละ 60 คิดเป็นความพึงพอใจทั้งหมดเฉลี่ยร้อยละ 80

URL Reference :

(ดาวน์โหลด: 1 ครั้ง)

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 10-09-2568

แจ้งไฟล์หาย