คลังผลงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร

รายงานผลงานวิจัยและพัฒนา

วิจัยและพัฒนามังคุด ระยะที่ 2 (2559 - 2564)

คำหลัก : มังคุด เสียบยอด การจัดการทรงพุ่ม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ชักนำการออกดอก

ผู้วิจัย : ชมภู จันที

ผู้ร่วมวิจัย : ปิยะมาศ โสมภีร์,ปาริชาติ พจนศิลป์,ชญานุช ตรีพันธ์,ศุภลักษณ์ อริยภูชัย,ธีรวุฒิ ชุตินันทกุล,มาลัยพร เชื้อบัณฑิต,อภิรดี กอร์ปไพบูลย์,ณิชชา แหลมเพ็ชร์,เฉลิมพล เอี่ยมพลับ,สำเริง ช่างประเสริฐ,อุมาพร รักษาพราหมณ์,ศิริพร วรกุลดำรงชัย,ทวีศักดิ์ แสงอุดม,สมบัติ ตงเต๊า,สุมาลี ศรีแก้ว,บุญชนะ วงศ์ชนะ,นาตยา ดำอำไพ,ศุกร์ เก็บไว้,ศศิมา เมืองแก้ว,บุปผา สิมมา,สุปราณี มั่นหมาย,ศิริพร เต็งรัง

หน่วยงาน : ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี สถาบันวิจัยพืชสวน ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 6 ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย ศูนย์วิจัยพืชสวนยะลา สำนักวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร สำนักวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร

ปี: 2564

ประเภทผลงาน: รายงานความก้าวหน้า

จำนวนผู้อ่าน: 125 ครั้ง

บทคัดย่อ (Abstract)

          การผลิตมังคุดในปัจจุบันต้องการการควบคุมทรงพุ่ม การจัดการธาตุอาหาร และการควบคุมการออกดอกที่แม่นยำซึ่งเกษตรกรยังขาดข้อมูลดังกล่าว แผนงานวิจัยย่อยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อหาแนวทางในการจัดการทรงพุ่ม การใช้เชื้อราไมคอร์ไรซาและจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ฟอสฟอรัสในดิน และการควบคุมการออกดอกของมังคุดที่แม่นยำดำเนินการวิจัยปี 2559 - 2564 พบว่าการจัดควบคุมทรงพุ่มมังคุดทำได้ 2 แบบ คือ 1) การปลูกมังคุดด้วยต้นที่ขยายพันธุ์จากการเสียบยอด ระยะปลูก 4 x 3 เมตร 2) การควบคุมทรงพุ่มด้วยการตัดแต่งกิ่ง พบว่าการตัดแต่งทรงพุ่มรูปทรงครึ่งวงกลม ทำให้ผลมังคุดมีน้ำหนักผลเพิ่มขึ้นเป็น 104.96 กรัม มีกำไรสุทธิ/ไร่ 79,011บาท มากกว่าการไม่ตัดแต่งทรงพุ่ม ส่วนในสวนมังคุดแบบผสมผสานของภาคใต้พบว่า การควบคุมความสูงทรงพุ่มมังคุด 5 เมตร x ควบคุมความกว้างทรงพุ่ม 5 เมตร มีกำไรสุทธิมากที่สุด และจากการคัดเลือกต้นมังคุดที่รวบรวมไว้ สามารถคัดเลือกได้ 3 ตัวอย่าง ได้แก่ ต้นหมายเลข 12, 56 และ 66 ในด้านการจัดการธาตุอาหารมีการสำรวจเชื้อราเอ็คโตไมคอร์ไรซาบริเวณโคนต้นมังคุด พบว่า เชื้อรา Clavaria vermicularis สามารถละลายฟอสเฟตออกมาได้มากที่สุด การใช้เชื้อราไมคอร์ไรซา (เอ็คโตไมคอร์ไรซาและเอ็นโดไมคอร์ไรซา) ร่วมกับปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟตกับมังคุดและพบว่าการใส่เชื้อราเอ็คโตไมคอร์ไรซา และการใส่ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟตทำให้มีปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดินมากกว่ากรรมวิธีอื่น (173.30 และ 208.45 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตามลำดับ) การใส่เชื้อราเอ็คโตไมคอร์ไรซามีปริมาณฟอสฟอรัสทั้งหมดในใบสูงกว่ากรรมวิธีอื่นๆ สำหรับเปอร์เซ็นต์การเข้ารากของเชื้อราไมคอร์ไรซาทั้งสองชนิด พบว่า ในช่วงฤดูฝนการเข้ารากของเชื้อฯมีปริมาณมากกว่าในช่วงฤดูแล้ง และปริมาณการเข้ารากของเชื้อราเอ็คโตไมคอร์ไรซาถึงแม้จะมีปริมาณน้อยกว่าแต่มีประสิทธิภาพทำให้พืชดูดใช้ฟอสฟอรัสได้ดีกว่า ด้านการควบคุมการออกดอกของมังคุดแบบแม่นยำ พบว่า ต้นมังคุดที่มีการจัดการต้นตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตรแสดงค่าข้อมูลสรีรวิทยาภายในต้นมังคุดสูงกว่าวิธีเกษตรกร ด้านการชักนำการออกดอก พบว่า ใบที่มีอายุในช่วง 13 สัปดาห์ ถึง 1 ปี มีอัตราสังเคราะห์แสงสุทธิสูงที่สุด ส่วนใบที่มีอายุมากกว่า 1.5 ปี มีอัตราสังเคราะห์แสงสุทธิต่ำที่สุด การให้แสงสีขาวในทรงพุ่มมีค่าปริมาณคลอโรฟิลล์เอและบี แคโรทีนอยด์ในใบสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยวิธีการเพิ่มแสง LED สีขาว (100 µmolm-2s-1) 6 ชั่วโมงต่อวัน มีประสิทธิภาพการสังเคราะห์แสงระหว่าง 10:00 – 14:00 น. เท่ากับ 2.28 – 2.49 µmolm-2s-1และค่า C/N Ratio หลังเปิดไฟ เพิ่มขึ้น 10 - 11% ด้านการจัดการน้ำ พบว่า การคลุมโคนด้วยผ้าพลาสติกสีขาวร่วมกับการขุดร่องระบายน้ำทำให้ต้นทดลองมีการออกดอกครบทุกต้นเร็วขึ้น 2 สัปดาห์ และอุณหภูมิกลางวันที่ 25 ˚C และกลางคืน 15 ˚C เป็นเวลา 14 วัน มีแนวโน้มสามารถชักนำให้มังคุดออกดอกได้ สอดคล้องกับปริมาณฮอร์โมนจิบเบอเรลลินภายในที่ลดลงหลังจากได้รับอุณหภูมิต่ำ นอกจากนี้ยังพบว่าในปีที่มีสภาพอากาศไม่เหมาะสมต่อการออกดอกของมังคุด การควั่นเปลือกของลำต้นมังคุดครึ่งลำต้นกว้าง 0.5 เซนติเมตร จำนวน 1 รอย หรือการพ่นสารเอทธีฟอนความเข้มข้น100 ppm ร่วมกับการให้น้ำตามคำแนะนำของกรมฯ ทำให้มังคุดมีการออกดอกดีกว่ากรรมวิธีอื่น

URL Reference :

(ดาวน์โหลด: 45 ครั้ง)

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 12-11-2567

แจ้งไฟล์หาย