คลังผลงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร

รายงานผลงานวิจัยและพัฒนา

การทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตงาที่เหมาะสมในเขตภาคเหนือตอนล่าง

คำหลัก : งา พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตงา

ผู้วิจัย : รวีวรรณ เชื้อกิตติศักดิ

ผู้ร่วมวิจัย : เพ็ญรัตน์ เทียมเพ็ง,รุ่งทิวา ดารักษ์,ณัฐธิดา ทองนาค,มนัสชญา สายพนัส,กาญจนา เป้พินิจ

หน่วยงาน : ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุโขทัย

ปี: 2555

ประเภทผลงาน: ผลงานวิจัยเรื่องเต็ม

จำนวนผู้อ่าน: 104 ครั้ง

บทคัดย่อ (Abstract)

การทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตงาที่เหมาะสมในเขตภาคเหนือตอนล่าง ปี 2554-2555 เป็นเวลา 2 ปี ดำเนินการทดสอบในไร่เกษตรกรจังหวัดตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุตรดิตถ์ จังหวัดละ 3 แปลง ประกอบด้วย 5 กรรมวิธี โดยใช้งาพันธุ์รับรองของกรมวิชาการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แก่ พันธุ์อุบลราชธานี 1 อุบลราชธานี 3 และ CM07 ปลูกเป็นแถวเปรียบเทียบกับพันธุ์พื้นเมืองที่ปลูกแบบแถวและแบบหว่าน ซึ่งเป็นวิธีการปลูกของเกษตรกรทั่วไป ปลูกงากรรมวิธีละ 400 ตารางเมตร สำหรับกรรมวิธีการปลูกเป็นแถวใช้ระยะห่างระหว่างแถว 0.50 เมตร ระหว่างต้น 10-20 ต้น/เมตร ใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-8 อัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่ พร้อมปลูกหรือโรยข้างแถวหลังงางอก 2 สัปดาห์ ส่วนกรรมวิธีการของเกษตรกรจะปลูกงาโดยการหว่าน อัตราเมล็ดพันธุ์ 1.0 กิโลกรัม/ไร่ และปฏิบัติดูแลรักษาตามวิธีของเกษตรกรปี 2554 ดำเนินการได้ 7 แปลง ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุตรดิตถ์ พบว่า ผลผลิตทั้ง 7 แปลง เท่ากับ 78.2 กิโลกรัมต่อไร่ กรรมวิธีที่ 2 และ 4 ซึ่งปลูกเป็นแถว ให้ผลผลิตสูงกว่ากรรมวิธีที่ 5 ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติของเกษตรกร ถึงร้อยละ 10 และ 7 ตามล้าดับ ส่วนความคุ้มทุนหรือค่า BCR พบว่า กรรมวิธีที่ 2 มีค่า BCR สูงกว่ากรรมวิธีที่ 5 ร้อยละ 17 ในปี 2555 ด้าเนินการในพื้นที่ 4 จังหวัด ๆ ละ แปลง รวม 12 แปลง (ตารางที่ 9) เมื่อนำผลผลิตและอัตราส่วนของรายได้ต่อค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อวิเคราะห์ความคุ้มทุน พบว่า กรรมวิธีที่ 5 ให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 130.2 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่ากรรมวิธีที่ 1-4 ร้อยละ 4-28 ในขณะที่กรรมวิธีที่ 2 ให้ผลผลิตเฉลี่ย 124.8 กิโลกรัมต่อไร่ แต่เมื่อคิดความคุ้มทุนแล้วพบว่า กรรมวิธีที่ 2 ซึ่งใช้พันธุ์งาดำอุบลราชธานี 3 มีราคาขายสูงกว่าประมาณกิโลกรัมละ 5 บาท จึงให้ผลตอบแทนหรือค่า BCR มากกว่ากรรมวิธีที่ 5 ซึ่งเป็นงาด้าแดงพันธุ์พื้นเมือง ถึงร้อยละ 4 และเมื่อนำผลผลิต และผลตอบแทนหรือความคุ้มทุนมาเฉลี่ยทั้ง 2 ปี พบว่า ผลผลิตเฉลี่ยงาในเขตภาคเหนือตอนล่าง 4 จังหวัดเท่ากับ 99.1 กิโลกรัมต่อไร่ และมีค่า BCR เท่ากับ 2.20 ถึงแม้ว่าการผลิตงาจะคุ้มค่าต่อการลงทุน แต่การด้าเนินงานวิจัยในครั้งนี ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ คือ ยกระดับผลผลิตมากกว่า 130 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ เพราะในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมามีพืชอื่นที่มีผลตอบแทนที่ดีกว่าเข้ามามีบทบาทในพื้นที่เขตนี้ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกงาลง และให้ความสนใจพืชอื่นแทน งาเป็นเพียงพืชทางเลือกให้เกษตรกรในภาวะที่พืชอื่นๆ ราคาตกต่ำ หรือผลิตพืชอื่นไม่ได้

URL Reference :

(ดาวน์โหลด: 26 ครั้ง)

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 23-12-2567

แจ้งไฟล์หาย