คลังผลงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร

รายงานผลงานวิจัยและพัฒนา

พันธุ์ขมิ้นชันเพื่อเพิ่มผลผลิตและการป้องกันโรค

คำหลัก : ขมิ้นชัน โรคเหี่ยว เชื้อแบคทีเรีย เคอร์คูมินอยด์ พืชตัดวงจร

ผู้วิจัย : สุมาลี ศรีแก้ว

ผู้ร่วมวิจัย : ว่าที่ร้อยตรีอรรถพล รุกขพันธ์,ชญานุช ตรีพันธ์,ศุกร์ เก็บไว้,ฉัตรชัย กิติไพศาล,ลัดดาวัลย์ อินทร์สังข์,ศรีสุดา โท้ทอง,สุนิตรา คามีศักดิ์,รัติกาล ยุทธศิลป์,นฤทัย วรสถิต,ณัฎฐิมา โฆษิตเจริญกุล

หน่วยงาน : ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง สถาบันวิจัยพืชสวน สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 6 สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช

ปี: 2563

ประเภทผลงาน: ผลงานวิจัยเรื่องเต็ม

จำนวนผู้อ่าน: 75 ครั้ง

บทคัดย่อ (Abstract)

          การคัดเลือกสายต้นขมิ้นชันที่ทนทานโรคเหี่ยวจากเชื้อแบคทีเรีย และศึกษาหาเทคโนโลยีเพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อแบคทีเรีย และเพิ่มคุณภาพของผลผลิตโดยการจัดการดินร่วมกับการใช้เชื้อแบคทีเรียปฏิปักษ์ Bacillus subtilis มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดเลือกให้ได้สายพันธุ์ขมิ้นชันที่ทนทานต่อโรคเหี่ยวและวิธีการจัดการควบคุมเชื้อแบคทีเรีย ดำเนินการระหว่างปี 2559 - 2563 ณ ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง 1) รวบรวมสายต้นขมิ้นชันจากแหล่งปลูกการค้าที่เคยมีการระบาดของโรคเหี่ยว จำนวน 29 สายพันธุ์ นำมาปลูกเชื้อ Ralstonia solanacearum ไอโซเลต RS-S 2 ครั้ง แล้วคัดเลือกสายต้นที่แสดงอาการของโรคน้อยที่สุดและมีความรุนแรงของโรคไม่เกินระดับ 3 จำนวน 6 สายต้น นำมาปลูกทดสอบในแปลงทดลองที่จังหวัดตรังและพัทลุง พบว่า T21 KBI 2 ให้ผลผลิตรวมต่อกอและต่อแปลงสูงสุด และหัวพันธุ์แสดงต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ T12 SSK 4 และ ตรัง 1 แสดงอาการของโรคในแปลงต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ให้ผลผลิตรวมต่อกอต่ำกว่าเล็กน้อย และหัวพันธุ์แสดงอาการโรคต่ำกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ 2) เก็บหัวพันธุ์ขมิ้นชันและดินจากแหล่งปลูกการค้า 14 แห่ง วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างธาตุอาหารในดินกับปริมาณสารเคอร์คูมินอยด์พบว่า ดินที่มีปริมาณอินทรีย์คาร์บอน ปริมาณอินทรียวัตถุ และไนโตรเจนสูง ไม่มีความสัมพันธ์กับปริมาณสารเคอร์คูมินอยด์ ซึ่งพื้นที่ปลูกและสภาพแวดล้อมมีผลต่อปริมาณสารเคอร์คูมินอยด์มากกว่าพันธุ์ขมิ้นชัน 3) การปลูกข้าวโพดหวาน และถั่วหรั่ง ตัดวงจรเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum ในแปลงปลูกขมิ้นชัน พบว่าการปลูกข้าวโพดหวานตัดวงจรเชื้อ 1 ฤดูปลูก สามารถลดปริมาณเชื้อโรคเหี่ยวจากเชื้อ ได้ดีที่สุดโดยมีเปอร์เซ็นต์การเกิดโรค ที่อายุ 2, 4 และ 6 เดือนหลังปลูกต่ำ เท่ากับ 0, 3.65 และ 26.9% ตามลำดับ และมีระดับความรุนแรงของโรคต่ำ และ 4) การอบดินด้วยยูเรียและปูนขาวอัตรา 80:800 กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับการใช้ผงแป้งเชื้อ B. subtilis คลุกหัวพันธุ์ก่อนปลูก และราดหลังปลูกทุก 30 วัน พบว่าให้น้ำหนักเหง้าเฉลี่ยและปริมาณผลผลิตสูงกว่ากรรมวิธีอื่น โดยมีปริมาณผลผลิต 3,008.3 2,893.9 2,670.8 และ 2,576.3 กิโลกรัมต่อไร่ ในปี 60-61 61-62 62-63 และ 63-64 ตามลำดับ

URL Reference :

(ดาวน์โหลด: 31 ครั้ง)

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 10-02-2568

แจ้งไฟล์หาย