คลังผลงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร

รายงานผลงานวิจัยและพัฒนา

เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการจัดการคุณภาพในโซ่อุปทานกล้วยไข่เพื่อการส่งออก

คำหลัก :

ผู้วิจัย : ทวีศักดิ์ แสงอุดม

ผู้ร่วมวิจัย : วรางคณา มากกำไร, สุภาภรณ์ สาชาติ, สุนิตรา คามีศักดิ์, เพ็ญจันทร์ สุธานุกูล, รุ้งลาวัลย์ อินต๊ะวงค์, สำเริง ช่างประเสริฐ, รัชนี ฉัตรบรรยงค์ และปยุดา สลับศรี

หน่วยงาน : สถาบันวิจัยพืชสวน

ปี: 2563

ประเภทผลงาน: ผลงานวิจัยเรื่องเต็ม

จำนวนผู้อ่าน: 43 ครั้ง

บทคัดย่อ (Abstract)

          การวิจัยและพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการจัดการคุณภาพในโซ่อุปทานกล้วยไข่เพื่อการส่งออก มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนการผลิตเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต มี 6 การทดลอง คือ 1) ศึกษาการกระจายการผลิตโดยใช้ต้นพันธุ์ประเภทต่างๆ 2) การใช้สารชะลอการเจริญเติบโตบางชนิดต่อการหักล้มของกล้วยไข่ 3) การคลุมพลาสติกและการใช้สารอุ้มน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกล้วยไข่ในช่วงฤดูแล้ง 4) ศึกษาวิธีการควบคุมโรคหลังการเก็บเกี่ยวกล้วยไข่อย่างปลอดภัย 5) ศึกษาการใช้ระบบ cold chain เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา และ 6) ทดสอบการจัดการการผลิตและการจัดการคุณภาพในโซ่อุปทานกล้วยไข่เพื่อการส่งออก ดำเนินการตุลาคม 2559 - กันยายน 2563 ณ ศูนย์วิจัยพืชสวนสุโขทัย ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรราชบุรีแปลงเกษตรกร และสถาบันวิจัยพืชสวน ผลการดำเนินงาน 1) การใช้ต้นพันธุ์จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีการเจริญเติบโตดีสุด การออกเครือสม่ำเสมอและให้ผลผลิตที่ได้มาตรฐาน 1,880 กิโลกรัม/ไร่ รายได้สุทธิ 42,901 บาท/ไร่ รองมา คือ ต้นจากการผ่าหน่อ 4 และ 8 ชิ้น/ต้น และการปลูกจากหน่อ 2) ด้านการลดการหักล้มพบว่า การใช้สารพาโคลบิวทราซอลอัตรา 120-150 ppm ราดสารฯ ต้นละ 5 ลิตร หลังปลูก 4 เดือน ช่วยลดความสูงลำต้น 29.3 - 33.4% ความยาวใบลดลง 15.12 - 16.44% การราดสารฯ ที่ 90 120 และ 150 ppm มีการหักล้ม 57 54 และ 52 % ตามลำดับ control หักล้ม 78% ส่วนการใช้ยูนิโคลนาซอล 6 - 15 ppm ไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตและการหักล้ม 3) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในช่วงฤดูแล้งพบว่า การใช้สารอุ้มน้ำและหรือร่วมกับการคลุมดินด้วยพลาสติกและให้น้ำระบบน้ำหยด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกล้วยไข่ในช่วงฤดูแล้งได้ดีและให้น้ำหนักต่อเครือ และรายได้สุทธิมากกว่า control 4) การควบคุมโรคหลังการเก็บเกี่ยวพบว่าการใช้โพรคลอราช และคาร์เบนดาซิม 250 ppm สามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการจุ่มน้ำโอโซน 0.5 ppm ร่วมกับโพรคลอราซ 125 ppm นาน 15 นาที ให้ผลดีไม่แตกต่างกับการจุ่มสารเคมีเพียงอย่างเดียว ด้านการตกค้างของสารเคมีหลังการเก็บรักษา 2 สัปดาห์แล้วบ่มสุก สารเคมีสะสมในเปลือกสูงสุด ที่เนื้อผลพบปริมาณต่ำและไม่เกินค่า MRL ในทุกกรรมวิธีที่ใช้สารเคมี 5) การศึกษาการใช้ระบบ cold chain พบว่าวิธีการลดอุณหภูมิโดยใช้น้ำเย็น สามารถลดความร้อนผลิตผลได้เร็วสุดจาก 32 - 35 °C มาที่ 14 - 16 °C ใช้เวลา 30 นาทีส่วนการใช้ลมเย็นใช้เวลา 2 ชั่วโมง 45 นาที และวิธีการลดอุณหภูมิไม่มีผลต่อการเกิดโรคขั้วหวีเน่า ความแน่นเนื้อและการเกิดจุดกระของกล้วยไข่ ส่วนระยะเวลาการเก็บรักษา มีผลต่อการเกิดโรคขั้วหวีเน่า ความแน่นเนื้อและการเกิดจุดกระ และไม่มีอิทธิพลร่วมของสองปัจจัย 6) การทดสอบการจัดการการผลิตและการจัดการคุณภาพในแหล่งผลิตสำคัญ พบว่า ในแหล่งผลิต จ.สุโขทัย กรรมวิธีเกษตรกรให้ผลผลิตมากกว่ากรรมวิธีผสมผสาน 86 กิโลกรัม/ไร่ ต่างจากที่แหล่งผลิต จ.จันทบุรีและราชบุรี กรรมวิธีผสมผสานให้ผลผลิตมากกว่า 44 และ 444 กิโลกรัม/ไร่ จากผลการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่การผลิตจะทำให้ปริมาณผลผลิตคุณภาพ ช่วยลดการสูญเสียและเพิ่มรายได้และผลตอบแก่เกษตรกร

URL Reference :

(ดาวน์โหลด: 16 ครั้ง)

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 26-02-2568

แจ้งไฟล์หาย