คลังผลงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร

รายงานผลงานวิจัยและพัฒนา

สตรอเบอรี่

คำหลัก : สตรอเบอรี่ ปรับปรุงพันธุ์ เทคโนโลยี

ผู้วิจัย : ฉัตต์นภา ข่มอาวุธ

ผู้ร่วมวิจัย : อนุ สุวรรณโฉม,ธัญญาพร งามงอน,จิตอาภา จิจุบาล,จำรอง ดาวเรือง,สมคิด รัตนบุรี,สัจจะ ประสงค์ทรัพย์,เกษตริน ฝ่ายอุปการะ,ชิดชนก ก่อเจดีย์,ศิริภรณ์ จรินทร,วราภรณ์ อุดมดี,สุภาภรณ์ สาชาติ,มนัสพร ฉิ่งวังตะกอ,เยาวภา เต้าชัยภูมิ,นงคราญ โชติอิ่มอุดม,สุทิน เสละคร,เกษม ทองขาว

หน่วยงาน : ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ ศูนย์วิจัยเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ สถาบันวิจัยพืชสวน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตาก ศูนย์วิจัยพืชสวนเลย

ปี: 2563

ประเภทผลงาน: ผลงานวิจัยเรื่องเต็ม

จำนวนผู้อ่าน: 53 ครั้ง

บทคัดย่อ (Abstract)

          โครงการวิจัยและพัฒนาสตรอเบอรี่ วัตถุประสงค์เพื่อหาพันธุ์ที่ดีสำหรับบริโภคสดและแปรรูปได้ดีที่เจริญเติบโตได้ดีให้ผลผลิตสูง ทนทานต่อการขนส่ง ปรับตัวได้ดีในประเทศไทย และเทคโนโลยีในการผลิตที่เหมาะสม ดำเนินการปี 2557 - 2563 จำนวน 2 กิจกรรม 13 การทดลองดังนี้ กิจกรรมที่ 1 การวิจัยและพัฒนาพันธุ์จำนวน 6 การทดลอง ดังนี้ 1) สำรวจ รวบรวมและจำแนกลักษณะทางพันธุกรรมของสตรอเบอรี่สายพันธุ์ต่างๆ จำนวน 27 พันธุ์ 4,200 ต้น 2) การทดสอบพันธุ์สตรอเบอรี่ที่นำเข้าจากต่างประเทศในเขตภาคเหนือตอนบน พบว่า พันธุ์ Taiwan และพันธุ์ Akihime มีศักยภาพและคุณภาพใกล้เคียงกับพันธุ์พระราชทานเบอร์80 และ พันธุ์329 3) การทดสอบพันธุ์สตรอว์เบอร์รีที่นำเข้าจากต่างประเทศในภาคเหนือตอนล่าง พบว่า พันธุ์อียิปต์1 มีศักยภาพและคุณภาพใกล้เคียงกับพันธุ์พระราชทานเบอร์80 และพันธุ์329 4) การทดสอบพันธุ์สตรอเบอรี่ที่ในเขตภาคเหนือตอนล่าง พบว่าพันธุ์พระราชทานเบอร์80 มีศักยภาพ คุณภาพ และผลผลิตที่สูงที่สุดและมีความแตกต่างกับกรรมวิธีอื่นอย่างชัดเจน 5) การผสมพันธุ์และคัดเลือกพันธุ์สตรอเบอรี่ พบว่า สามารถผสมและคัดเลือกลูกผสมได้ 20 สายพันธุ์ ได้แก่ H-80-8-3, 329-80-4-2, 80-H-3-2, H-80-9-3, H-T-8-4, H-80-9-1, 80-H-9-1, T-H-2-2, H-T-9-1, H-Ha-1-3, H-80-1-3, T-H-2-3, H-80-8-1, 329-80-10-2, H-80-9-2, Ha-T-5-4, 80-H-1-1, 80-Ha-7-3, 80-H-4 และ 80-H-4-3 ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก 6) การเปรียบเทียบพันธุ์สตรอเบอรี่ลูกผสม ดำเนินการ 4 สถานที่ พบว่า มี 7 สายพันธุ์ ที่มีคุณภาพและปริมาณผลผลิตกับพันธุ์พระราชทานเบอร์80 และ พันธุ์329 ได้แก่ สายพันธุ์ 80-H-3-2, Ha-T-5-4, H-80-1-3, 80-H-1-1, H-80-9-2, S-H-2-2 และ T-H-2-2 ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีความเหมาะสมแตกต่างกันในแต่ละสถานที่และกิจกรรมที่ 2 เทคโนโลยีการผลิต จำนวน 7 การทดลอง ดังนี้ 1) อิทธิพลของกรดจิบเบอเรลลิค (GA3) ที่มีผลต่อการเพิ่มปริมาณไหลของสตรอเบอรี่ พบว่า มีความแตกต่างทางสถิติโดย การพ่นกรดจิบเบอเรลริคที่ความเข้มข้น 50 ppm. ทำให้มีอัตราการเกิดไหลมากที่สุด ไม่มีความแตกต่างทางสถิติในการเด็ดดอกและไม่เด็ดดอก เมื่อศึกษาอิทธิพลร่วมของทั้งสองปัจจัยพบว่า ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ โดยการเด็ดดอก ร่วมการพ่นกรดจิบเบอเรลลิคที่ความเข้มข้น 50 ppm. หลังปลูก 30 และ 60 วัน ทำให้มีอัตราการเกิดไหลมากที่สุด 2) ศึกษาช่วงเวลาปลูกเพื่อเพิ่มปริมาณไหลของสตรอเบอรี่ในเขตที่สูงภาคเหนือตอนล่าง พบว่า มีความแตกต่างทางสถิติของช่วงเวลาปลูกต่อจำนวนเส้นไหลเฉลี่ยต่อกอและจำนวนต้นไหลเฉลี่ยต่อเส้นไหล โดยการปลูกช่วงเดือนมกราคม ทำให้จำนวนเส้นไหลเฉลี่ยต่อกอและจำนวนต้นไหลเฉลี่ยต่อเส้นไหลสูงสุด รองลงมา คือ ช่วงเดือน ธันวาคม, พฤศจิกายน, ตุลาคม และเดือนกันยายน ตามลำดับ 3) ศึกษาวัสดุปลูกสำหรับการปลูกสตรอเบอรี่แบบยกพื้นสูงเพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิตในเขตที่สูงภาคเหนือตอนล่าง พบว่า การใช้วัสดุปลูกแบบยกพื้นสูงตามกรรมวิธีที่มีวัสดุปลูกเป็น ดิน, ทราย และปุ๋ยคอก ในอัตราส่วน 1:1:1 มีศักยภาพดีที่สุด 4) การทดสอบเทคโนโลยีการผลิตผลสดสตรอเบอรี่ในเขตที่สูงภาคเหนือตอนบน พบว่า ไม่มีความแตกต่างทางสถิติของแต่ละกรรมวิธี 5) การผลิตผลสตรอเบอรี่นอกฤดูในเขตที่สูงภาคเหนือตอนบน พบว่า ไม่มีความแตกต่างทางสถิติของแต่ละกรรมวิธีแต่ไม่สามารถเปรียบเทียบข้อมูลผลผลิตได้ เนื่องจากพบปัญหาการขาดแคลนน้ำในการเพาะปลูก โรค แมลง และอุณหภูมิที่สูง ทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบข้อมูลผลผลิตได้ 6) ศึกษาวัสดุคลุมแปลงที่เหมาะสมในการผลิตสตรอเบอรี่ในเขตภาคเหนือตอนล่าง พบว่า การใช้พลาสติกคลุมแปลงสะท้อนแสงทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและมีปริมาณมากที่สุดแตกต่างจากกรรมวิธีอื่น รองลงมาคือการใช้ผ้าคลุมดิน (แอล.เอ) และอัตราส่วนของผลตอบแทนต่อต้นทุน (BCR) พบว่า ผ้าคลุมแปลง (แอล.เอ) มีค่า BCR สูงกว่าการใช้พลาสติกสะท้อนแสง เนื่องจากผ้าคลุมแปลง (แอล.เอ) สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 3 - 4 ครั้ง จึงสามารถลดต้นทุนลงได้ดีกว่าพลาสติกสะท้อนแสง 7) ศึกษาการปลูกสตรอเบอรี่ด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ภายใต้สภาวะควบคุม (Plant Factory Artificial Light : PFAL) พบว่า สารละลายสูตรที่เติม NO3 10.8 มิลลิกรัมต่อลิตร NH4 1.2 มิลลิกรัมต่อลิตร H2PO4 1.2 มิลลิกรัมต่อลิตร K 3 มิลลิกรัมต่อลิตร Ca 1.85 มิลลิกรัมต่อลิตร Mg 0.85 มิลลิกรัมต่อลิตร SO4 0.85 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้มีน้ำหนักเฉลี่ยต่อผลมากที่สุดแตกต่างทางสถิติกับกรรมวิธีที่เติม NO3 11.5 มิลลิกรัมต่อลิตร NH4 1 มิลลิกรัมต่อลิตร H2PO4 3 มิลลิกรัมต่อลิตร K 5.5 มิลลิกรัมต่อลิตร Ca 6.5 มิลลิกรัมต่อลิตร Mg 2.5 มิลลิกรัมต่อลิตร SO4 3 มิลลิกรัมต่อลิตร Fe 1.12 มิลลิกรัมต่อลิตร B 0.27 มิลลิกรัมต่อลิตร Zn 0.46 มิลลิกรัมต่อลิตร Cu 0.05 มิลลิกรัมต่อลิตร Mo 0.05 มิลลิกรัมต่อลิตร ที่มีปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้มากที่สุด

URL Reference :

(ดาวน์โหลด: 23 ครั้ง)

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 27-02-2568

แจ้งไฟล์หาย