คลังผลงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร

รายงานผลงานวิจัยและพัฒนา

การประเมินปริมาณกรดไขมันในถั่วเหลืองโดยใช้เทคนิค Near Infrared Spectroscopy

คำหลัก :

ผู้วิจัย : นฤเทพ เวชภิบาล

ผู้ร่วมวิจัย : จารุวรรณ บางแวก

หน่วยงาน : กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร

ปี: 2561

ประเภทผลงาน: ผลงานวิจัยเรื่องเต็ม

จำนวนผู้อ่าน: 5 ครั้ง

บทคัดย่อ (Abstract)

          ถั่วเหลืองเป็นแหล่งโภชนาการที่สำคัญสำหรับมนุษย์และสัตว์ถั่วเหลืองมีองค์ประกอบทางเคมีภายในเมล็ดที่มีประโยชน์อย่างมากมาย อาทิเช่น กรดไขมัน น้ำมัน โปรตีนในน้ำมันถั่วเหลือง ไอโซฟลาโวน น้ำตาลซูโครส และแคโรทีนอยด์ องค์ประกอบของกรดไขมันเป็นดัชนีสำคัญในการตรวจสอบคุณภาพของน้ำมัน หากปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีในพืชน้ำมันที่ระดับเหมาะสม จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค หากปริมาณกรดลิโนเลนิกลดลง และปริมาณกรดโอเลอิก (oleic) เพิ่มขึ้น จะช่วยเพิ่มปรับปรุงความเสถียรของน้ำมันถั่วเหลืองในระหว่างการเก็บรักษา และการแปรรูป ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะช่วยลดกระบวนการเติมไฮโดรเจน (hydrogenation) ที่จะนำไปสู่การเพิ่มไขมันทรานส์ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ วิธีการวิเคราะห์กรดไขมันแบบดั้งเดิม (ภายในห้องปฏิบัติการ) เป็นวิธีที่สิ้นเปลืองแรงงาน ตั้งแต่ขั้นตอนการบด สกัดน้ำมัน ปฏิกิริยาทางเคมี และการวิเคราะห์ด้วยเครื่อง GC ดังนั้นการพัฒนาวิธีตรวจสอบที่คุ้มค่า และรวดเร็วจึงเป็นสิ่งจำเป็น เทคนิคเนียร์อินฟราเรดสเปกโตรสโคปี (NIRS) เป็นเทคนิคที่มีประโยชน์ รวดเร็ว ไม่ทำลายตัวอย่าง คุ้มค่า และน่าเชื่อถือ ที่มีการนำมาใช้ในการวิเคราะห์ทางเกษตรและอาหาร นำมาใช้ในการทดแทนการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ เพราะสามารถวิเคราะห์ได้รวดเร็ว ไม่ใช้สารเคมี และไม่ทำลายตัวอย่าง โดยทำการสุ่มเลือกตัวอย่างเมล็ดถั่วเหลือง จำนวน 266 ตัวอย่าง มาวัดสเปกตรัมเพื่อพิจารณาค่าการดูดกลืนแสงของตัวอย่าง ด้วยเครื่อง NIRSystems 6500 ช่วงคลื่น 400 - 2500 นาโนเมตร และวิเคราะห์ปริมาณกรดไขมันในถั่วเหลือง จำนวน 5 ชนิด ได้แก่ กรดปาล์มิติก (palmitic) กรดสเตียริก (stearic) กรดโอเลอิก (oleic) กรดลิโนเลอิก (linoleic) และกรดลิโนเลนิก (linolenic) ด้วยวิธี GC-FID ระหว่างเดือนตุลาคม 2559 ถึงกันยายน 2561 ณ กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรุงเทพฯ จากผลการทดลอง พบว่า ในเมล็ดถั่วเหลืองจะมีปริมาณกรดปาล์มิติก กรดสเตียริก กรดโอเลอิก กรดลิโนเลอิก และกรดลิโนเลนิก โดยเฉลี่ยเท่ากับ 11.20 3.40 22.75 54.95 และ 8.59% ตามลำดับ ในแป้งถั่วเหลืองจะมีปริมาณกรดปาล์มิติก กรดสเตียริก กรดโอเลอิก กรดลิโนเลอิก และกรดลิโนเลนิก โดยเฉลี่ยเท่ากับ 11.23 3.46 22.61 54.37 และ 8.28% ตามลำดับ นำค่าที่ได้มาสร้างสมการทำนาย ด้วยเทคนิค PLSR โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (R) ของกรดปาล์มิติก กรดสเตียริก กรดโอเลอิก กรดลิโนเลอิก และกรดลิโนเลนิกในเมล็ดถั่วเหลือง เท่ากับ 0.92 0.83 0.91 0.85 และ 0.84 ตามลำดับ ค่า R ของกรดปาล์มิติก กรดสเตียริก กรดโอเลอิก กรดลิโนเลอิก และกรดลิโนเลนิกในแป้งถั่วเหลือง เท่ากับ 0.93 0.85 0.93 0.93 และ 0.93 ตามลำดับ ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการทำนายปริมาณกรดไขมันถั่วเหลืองในกลุ่ม calibration (SEC) ของกรดปาล์มิติก กรดสเตียริก กรดโอเลอิก กรดลิโนเลอิก และกรดลิโนเลนิกในเมล็ดถั่วเหลือง เท่ากับ 0.40 0.19 1.30 1.10 และ 0.74% ตามลำดับ ค่า SEC ของกรดปาล์มิติก กรดสเตียริก กรดโอเลอิก กรดลิโนเลอิก และกรดลิโนเลนิกในแป้งถั่วเหลือง เท่ากับ 0.38 0.20 1.18 0.93 และ 0.46% ตามลำดับ และค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการทำนายปริมาณกรดไขมันถั่วเหลืองในกลุ่ม validation (SEP) ของกรดปาล์มิติก กรดสเตียริก กรดโอเลอิก กรดลิโนเลอิก และกรดลิโนเลนิกในเมล็ดถั่วเหลือง เท่ากับ 0.47 0.23 1.59 1.30 และ 0.81% ตามลำดับ ค่า SEP ของกรดปาล์มิติก กรดสเตียริก กรดโอเลอิก กรดลิโนเลอิก และกรดลิโนเลนิกในแป้งถั่วเหลือง เท่ากับ 0.49 0.28 1.41 1.10 และ 0.53% ตามลำดับ จากผลการทดสอบพบว่า สมการสำหรับการประเมินปริมาณกรดไขมันในเมล็ดและแป้งถั่วเหลืองนั้้น สามารถนำไปใช้ในการประเมินปริมาณกรดปาล์มิติก กรดสเตียริก กรดโอเลอิก กรดลิโนเลอิก และกรดลิโนเลนิกในเมล็ดและแป้งถั่วเหลืองโดยใช้เทคนิค NIRS ได้

URL Reference :

(ดาวน์โหลด: 1 ครั้ง)

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 15-05-2568

แจ้งไฟล์หาย