คลังผลงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร

รายงานผลงานวิจัยและพัฒนา

รูปแบบและอายุการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟอะราบิกาที่เหมาะสม

คำหลัก : กาแฟอะราบิกา อายุการเก็บรักษา กาแฟกะลา

ผู้วิจัย : ฉัตต์นภา ข่มอาวุธ

ผู้ร่วมวิจัย : ศิริภรณ์ จรินทร, สุภัทรา เลิศวัฒนาเกียรติ, ชัญญนุช สิงคมณี, ปราณี เดชอูป และรุ่งทิพย์ ดาวเรือง

หน่วยงาน : ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ และสถาบันวิจัยพืชสวน

ปี: 2561

ประเภทผลงาน: ผลงานวิจัยเรื่องเต็ม

จำนวนผู้อ่าน: 10 ครั้ง

บทคัดย่อ (Abstract)

          ศึกษารูปแบบที่เหมาะสมในการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟ วัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบการเก็บเมล็ดกาแฟให้เก็บรักษาได้นานขึ้นที่มีประสิทธิภาพและมีราคาถูก ดำเนินการเดือน ต.ค. 2559 - กันยายน 2561 โดยเดือนมีนาคม 2559 เก็บผลสดของกาแฟอะราบิกาสายพันธุ์คาติมอร์จากศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง : 1300 เมตรจากระดับน้ำทะเล) นำมาลอยน้ำ ลอกเปลือกด้วยเครื่องปอกผลสด หมักที่น้ำไหล 2 วัน ขัดเมือกและล้างในน้ำสะอาดและตากบนชั้นสูงจากพื้น 1.5 เมตร เป็นเวลา 7 - 14 วัน เก็บรักษาเมล็ดกาแฟแบบกะลาใส่ถุงตาข่ายเป็นเวลา 3 เดือน ดำเนินการทดลองตามกรรมวิธีเดือนมิถุนายน 2559 วางแผนการทดลองแบบ Factorial in CRD จำนวน 4 ซ้ำ มี 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยที่ 1 ชนิดของถุง ได้แก่ ถุง HDPE ที่หนา 40 ไมครอน และถุง HDPE ที่หนา 78 ไมครอน ปัจจัยที่ 2 คือ อายุการเก็บรักษาในแต่ละช่วงเดือน คือ 0 3 6 9 12 15 18 21 และ 24 เดือน บรรจุถุงทั้งสองชนิดในกระสอบป่านวางบนชั้นตะแกรงเหล็กสูง 0.5 เมตร ในห้องที่มีอุณหภูมิช่วงเช้า 21.6±3.2 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 89.6±5.8 เปอร์เซ็นต์ ช่วงบ่าย 32.9±2.3 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 73.1±4.1 องศาเซลเซียส ณ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (แม่เหียะ : 350 เมตรจากระดับน้ำทะเล) อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ที่มีความชื้นเมล็ดกาแฟแบบกะลาเริ่มต้น 12 เปอร์เซ็นต์ เมื่อนำมากะเทาะเป็นสารมีความชื้น 12.55 เปอร์เซ็นต์ เมล็ดกาแฟแบบกะลามีสี GreyedYellow group B162 และเมล็ดกาแฟแบบสารมีสี Bluish-Green ไม่พบข้อบกพร่อง มีคุณภาพการชิม 76.23 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 พบว่า ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ (P ≥ 0.01) ในด้านความชื้นของเมล็ด สี ข้อบกพร่อง และคุณภาพการชิมเมื่อเก็บรักษาในถุง HDPE ทั้งสองชนิด แต่มีความแตกต่างทางสถิติ (P ≤ 0.01) ทุกด้านในระยะเวลาที่เก็บรักษา โดยเฉพาะคุณภาพการชิมในแต่ละเดือนมีแนวโน้มคุณภาพการชิมที่มากขึ้นเมื่อเก็บรักษานานขึ้น คือ ตั้งแต่ 0 ถึงเดือนที่ 12 และลดลง ตามลำดับ ในเดือนที่ 15 ถึงเดือน 24 โดยที่อายุเก็บรักษาเป็นเวลา 12 เดือน มีคุณภาพการชิมสูงที่สุด รองลงมา คือ ที่ 15 เดือน และ 9 เดือน สัมพันธ์กับข้อบกพร่องที่มากขึ้นเมื่อเก็บรักษาเป็นเวลา 3 และ 6 เดือน ต่อมาลดลงเมื่อเก็บรักษาเป็นเวลา 9 และ 12 เดือน โดยมีข้อบกพร่องน้อยที่สุดเมื่อเก็บรักษาเป็นเวลา 12 เดือน และมากขึ้นเมื่อเก็บรักษาเป็นเวลา 18 21 และ 24 เดือน ตามลำดับ เมื่อเก็บรักษาต่อเป็นเวลา 31 เดือน พบว่า ไม่มีความแตกต่างทางสถิติในองค์ประกอบเคมีเมื่อเก็บรักษาในถุง HDPE ทั้งสองชนิด ซึ่งได้แก่ ปริมาณเถ้า (Ash) คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrte) พลังงาน (Energy) ไขมัน (Fat) ความชื้น (Moisture) โปรตีน (Protein) แทนนิน (Tannin) น้ำตาลฟรุกโตส (Fructose) น้ำตาลกลูโคส (Glucose) น้ำตาลซูโครส (Sucrose) น้ำตาลมอลโทส (Maltose) น้ำตาลแลกโทส (Lactose) และปริมาณน้ำตาลทั้งหมด (Total sugar: Fructose, Glucose, Sucrose, Maltose and Lactose) จากกรณีภายใต้เงื่อนไขว่ากาแฟอะราบิกาที่ไม่พบการเข้าทำลายของมอดเจาะผลกาแฟ เกษตรกรสามารถเก็บรักษาในถุง HDPE ที่หนา 40 ไมครอน (ราคา 5 บาท) ซึ่งพบว่ามีคุณภาพใกล้เคียงกับถุง HDPE ที่หนา 78 ไมครอน (ราคา 140 บาท) และมีราคาถูกกว่า ทำให้ลดต้นทุนของเกษตรกร เป็นแนวทางสำหรับเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกร ตลอดจนผู้ประกอบการขนาดเล็กสำหรับใช้เป็นข้อมูลในการประกอบอาชีพต่อไป

URL Reference :

(ดาวน์โหลด: 1 ครั้ง)

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 22-05-2568

แจ้งไฟล์หาย