คลังผลงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร

รายงานผลงานวิจัยและพัฒนา

ผลของชนิดปุ๋ยอินทรีย์และอัตราการใช้ที่เหมาะสมต่อการปลูกงาในสภาพนาอินทรีย์

คำหลัก :

ผู้วิจัย : บุญเหลือ ศรีมุงคุณ

ผู้ร่วมวิจัย : ประภาพร แพงดา,อรอนงค์ วรรณวงษ์,ลักขณา ร่มเย็น

หน่วยงาน : ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี

ปี: 2561

ประเภทผลงาน: ผลงานวิจัยเรื่องเต็ม

จำนวนผู้อ่าน: 14 ครั้ง

บทคัดย่อ (Abstract)

          ดำเนินการในสภาพนาอินทรีย์ วางแผนการทดลองแบบ RCB 4 ซ้ำ 9 กรรมวิธี คือ 1. ปุ๋ยคอก (มูลวัว) อัตรา 500 กก./ไร่ 2. ปุ๋ยคอก (มูลวัว) อัตรา 1,000 กก./ไร่ 3. ปุ๋ยคอก (มูลวัว) อัตรา 1,500 กก./ไร่ 4. ปุ๋ยคอก (มูลวัว) อัตรา 2,000 กก./ไร่ 5. ปุ๋ยหมักเติมอากาศ อัตรา 500 กก./ไร่ 6. ปุ๋ยหมักเติมอากาศ อัตรา 1,000 กก./ไร่ 7. ปุ๋ยหมักเติมอากาศอัตรา 1,500 กก./ไร่8. ปุ๋ยหมักเติมอากาศอัตรา 2,000 กก./ไร่ และ 9. ไม่ใส่ปุ๋ย ปี 2559 พบว่า คุณสมบัติทางเคมีของดินก่อนปลูก มีค่าความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 5.12 - 5.75 อินทรียวัตถุอยู่ระหว่าง 0.96 - 1.19 เปอร์เซ็นต์ และมีฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ได้ในดินต่ำเพียง 7.09 - 25.91 มก./กก. สำหรับโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้มีค่าสูงอยู่ระหว่าง 81.03 - 221.67 มก./กก. หลังเก็บเกี่ยว พบว่า ค่าความเป็นกรด-ด่างเพิ่มขึ้นทุกกรรมวิธีอยู่ระหว่าง 6.04 - 6.53 อินทรียวัตถุเพิ่มขึ้นอยู่ระหว่าง 1.54 - 1.71 เปอร์เซ็นต์และมีฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ได้ในดินต่ำเพียง 6.08 - 27.40 มก./กก. สำหรับโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้มีค่าสูงอยู่ระหว่าง 53.60 - 143.21 มก./กก. ทางด้านผลผลิต พบว่า การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ต่างชนิดและอัตราต่างๆ งาให้ผลผลิตไม่แตกต่างกันและไม่แตกต่างจากการไม่ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ คือ ให้ผลผลิตอยู่ระหว่าง 81 - 130 กก./ไร่ สำหรับองค์ประกอบผลผลิต ได้แก่ น้ำหนัก 1,000 เมล็ด จำนวนต้นเก็บเกี่ยว จำนวนฝักต่อต้น จำนวนข้อต่อต้น มีค่าไม่แตกต่างกันในทุกกรรมวิธี ทางด้านการเจริญเติบโตของงาวัดจากความสูงเมื่อเก็บเกี่ยว พบว่า ทุกกรรมวิธีมีความสูงไม่แตกต่างกันอยู่ระหว่าง 113 - 120 ซม. ปี 2560 ผลวิเคราะห์คุณสมบัติทางเคมีของดินหลังเก็บเกี่ยว พบว่า ในทุกกรรมวิธีมีอินทรียวัตถุ และไนโตรเจนในดินเพิ่มขึ้น สำหรับฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดิน และโพแทสเชียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดิน กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยหมักเติมอากาศตั้งแต่ 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ขึ้นไป มีค่าเพิ่มขึ้นและผลวิเคราะห์ปุ๋ยอินทรีย์ได้มาตรฐานกรมวิชาการเกษตร การใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 1,000 - 2,000 กก./ไร่ และปุ๋ยหมักเติมอากาศอัตรา 500 - 2,000 กก./ไร่ งาให้ผลผลิตไม่แตกต่างกัน คือ อยู่ระหว่าง 113.8 - 151.5 กก./ไร่ ทางด้านองค์ประกอบผลผลิต ได้แก่ น้ำหนัก 1,000 เมล็ด จำนวนต้นเก็บเกี่ยว และจำนวนฝักต่อต้นไม่แตกต่างกัน สำหรับการเจริญเติบโตวัดจากความสูงเมื่อเก็บเกี่ยวไม่แตกต่างกัน คือ อยู่ระหว่าง 92.6 - 117.8 ซม. ปี 2561 คุณสมบัติทางเคมีของดินก่อนปลูกมีค่าความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 5.39 - 6.96 อินทรียวัตถุอยู่ระหว่าง 1.00 - 1.38% ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ได้ในดินอยู่ระหว่าง 30.83 - 174.30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และโพแทสเชียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดินอยู่ระหว่าง 58.40 - 269.00 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และสำหรับผลวิเคราะห์ข้อมูลคุณสมบัติทางเคมีของดินหลังเก็บเกี่ยว พบว่า ค่าความเป็นกรดด่างของดิน และอินทรียวัตถุมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ได้ในดิน และโพแทสเชียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดินมีปริมาณลดลงทางด้านผลผลิตของงาการใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักเติมอากาศอัตราต่างๆ กัน และการไม่ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในสภาพนาอินทรีย์ที่ดินมีความเหมาะสมต่อการปลูกงาทำให้ผลผลิตไม่แตกต่างกัน คือ อยู่ระหว่าง 49.43 - 88.41 กก./ไร่ ทางด้านองค์ประกอบผลผลิต ได้แก่ น้ำหนัก 1,000 เมล็ด จำนวนต้นเก็บเกี่ยวต่อไร่จำนวนฝักต่อต้น และจำนวนข้อต่อต้น ไม่มีความแตกต่างกันในทุกกรรมวิธี สำหรับการเจริญเติบโตวัดจากความสูงเมื่อเก็บเกี่ยวไม่มีความแตกต่างกันในทุกกรรมวิธีโดยมีความสูงอยู่ระหว่าง 98.3 - 118.8 ซม.

URL Reference :

(ดาวน์โหลด: 6 ครั้ง)

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 29-05-2568

แจ้งไฟล์หาย