คลังผลงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร

รายงานผลงานวิจัยและพัฒนา

ประสิทธิภาพการป้องกันกำจัดด้วงเต่ากินใบกล้วยทำลายใบตองกล้วยตานี

คำหลัก :

ผู้วิจัย : อรณิชชา สุวรรณโฉม

ผู้ร่วมวิจัย : บุษบง มนัสมั่นคง, อารีรัตน์ พระเพชร, สุรศักดิ์ วัฒนพันธุ์สอน, ชัยณรงค์ จันทร์แสนตอ

หน่วยงาน : ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุโขทัย สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช

ปี: 2560

ประเภทผลงาน: ผลงานวิจัยเรื่องเต็ม

จำนวนผู้อ่าน: 7 ครั้ง

บทคัดย่อ (Abstract)

          การศึกษาประสิทธิภาพการป้องกันกำจัดด้วงเต่ากินใบกล้วยทำลายใบตองกล้วยตานี ดำเนินการะหว่างปี 2559 - 2560 ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุโขทัย โดยศึกษาประสิทธิภาพของสารป้องกันกำจัดด้วงเต่ากินใบกล้วย (Nodostoma viridipennis Motsch) ในห้องปฏิบัติการ วางแผนการทดลองแบบ RCB มี 4 ซ้ำ จำนวน 8 กรรมวิธี ได้แก่ สารสกัดสะเดา 50 100 150 และ 200 ppm พ่นไส้เดือนฝอยสายพันธุ์ไทย อัตรา 30 ล้านตัวต่อน้ำ 20 ลิตร สารคาร์บาริล 85%WP อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฟิโพรนิล 5%SCอัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร และน้ำเปล่า พบว่า ไส้เดือนฝอย 30 ล้านตัวต่อน้ำ 20 ลิตร ทำให้ด้วงเต่ากินใบกล้วยตาย 100 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 3 วัน เช่นเดียวกับการใช้สาร คาร์บาริล และฟิโพรนิล ส่วนสารสกัดสะเดาระดับต่างๆ ให้ผลไม่แตกต่างกันโดยทำให้ด้วงเต่ากินใบกล้วยตาย 69.7 - 74.7 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 7 วัน จากนั้นดำเนินการศึกษาประสิทธิภาพการป้องกันกำจัดด้วงเต่ากินใบกล้วยทำลายใบตองกล้วยตานีในสภาพแปลง ที่อำเภอศรีสัชนาลัย และอำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย วางแผนการทดลองแบบ RCB มี 4 ซ้ำ จำนวน 5 กรรมวิธี พ่นสารสกัดสะเดา ความเข้มข้น 50 ppm. ไส้เดือนฝอย 2 อัตรา ได้แก่ 30 และ 60 ล้านตัวต่อน้ำ 20 ลิตร สารฟิโพรนิล 5%SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร และพ่นน้ำเปล่า พบว่า ที่อำเภอศรีสัชนาลัย ไส้เดือนฝอย 60 และ 30 ล้านตัวต่อน้ำ 20 ลิตร พบรอยทำลายบนใบตองกล้วยตานีน้อยที่สุด ซึ่งใกล้เคียงกับการพ่นด้วยสารฟิโพรนิล และน้อยกว่าการพ่นด้วยสารสกัดสะเดา 322 และ 311 รอย คิดเป็น 47 และ 46 เปอร์เซ็นต์ และน้อยกว่าการพ่นด้วยน้ำเปล่า 238 และ 227 รอย คิดเป็น 40 และ 38 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ที่อำเภอสวรรคโลก การพ่นไส้เดือนฝอย อัตรา 60 ล้านตัวต่อน้ำ 20 ลิตร ทำให้พบรอยทำลายน้อยที่สุด 6 รอย ไส้เดือนฝอยทั้ง 2 ระดับ มีต้นทุนค่าสาร 320 และ 640 บาทต่อไร่ต่อครั้ง ตามลำดับ ถ้าเกษตรกรผลิตใช้เองจะทำให้ต้นทุนลดลงเหลือ 80 และ 160 บาทต่อไร่ต่อครั้ง ซึ่งต่ำกว่าการใช้สารฟิโพรนิล และสารสกัดสะเดา

URL Reference :

(ดาวน์โหลด: 4 ครั้ง)

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 01-07-2568

แจ้งไฟล์หาย