คลังผลงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร

รายงานผลงานวิจัยและพัฒนา

การปรับปรุงพันธุ์งาทนแล้ง : การเปรียบเทียบพันธุ์ในไร่เกษตรกร

คำหลัก : งาทนแล้ง การเปรียบเทียบพันธุ์ในไร่เกษตรกร

ผู้วิจัย : สมใจ โควสุรัตน์

ผู้ร่วมวิจัย : นัฐภัทร์ คำหล้า,อานนท์ มลิพันธ์,ธำรง เชื้อกิตติศักดิ์,จุไรรัตน์ หวังเป็น,สาคร รจนัย,สมหมาย วังทอง,จำลอง กกรัมย์

หน่วยงาน : ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรลพบุรี

ปี: 2558

ประเภทผลงาน: ผลงานวิจัยเรื่องเต็ม

จำนวนผู้อ่าน: 8 ครั้ง

บทคัดย่อ (Abstract)

          คัดเลือกสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง จำนวน 4 สายพันธุ์ จากการเปรียบเทียบพันธ์ในท้องถิ่น ได้แก่ สายพันธุ์SD-50-6-2 SD-50-8-2 SD-50-9-1 และ SD-50-17-1 นำมาเปรียบเทียบพันธุ์ในไร่เกษตรกร 3 จังหวัด ได้แก่ จ.อุบลราชธานี จ.นครสวรรค์ และ จ.ลพบุรี และดำเนินการใน 2 ปี คือ 2557 ในต้นฤดูฝน รวม 3 แปลงทดลอง และปี 2558 ต้นและปลายฤดูฝน รวม 6 แปลงทดลอง ผลการทดลองพบว่า ข้อมูลไม่เป็นเอกภาพ (heterogeneity) ไม่สามารถวิเคราะห์ความแปรปรวนรวมทั้งหมดได้ เนื่องจากความแปรปรวนแต่ละแปลงทดลองค่อนข้างสูง จากสภาพอากาศที่แปรปรวน และการระบาดของโรคไหม้ดำและเน่าดำ ที่สายพันธุ์งาทนแล้งไม่ทนทานต่อโรคจึงมีต้นตายมาก โดยเฉพาะที่ จ.อุบลราชธานี ทำให้ผลผลิตงาต่ำมาก ในขณะที่พันธุ์รับรองงาแดงอุบลราชธานี1 และงาดำอุบลราชธานี3 มีแนวโน้มจะทนทานต่อโรคได้ดีกว่า ให้ผลผลิตมากกว่าซึ่งค่าเฉลี่ยผลผลิตของแต่ละสายพันธุ์ ปี 2557 สายพันธุ์ทนแล้ง SD-50-8-2 ให้ค่าเฉลี่ยผลผลิตมากสุดเท่ากับ 116 กก./ไร่ รองลงไป คือ SD-50-6-2 ผลผลิตเฉลี่ย 96 กก./ไร่ ในขณะที่พันธุ์รับรองงาแดงอุบลราชธานี1 ผลผลิต 121 กก./ไร่ ส่วนปี 2558 ให้ผลการทดลองในทำนองเดียวกัน สายพันธุ์ทนแล้ง SD-50-8-2 ผลผลิตมากสุดเท่ากับ 110 กก./ไร่ รองลงไป คือ SD-50-6-2 ผลผลิตเฉลี่ย 96 กก./ไร่ ในขณะที่พันธุ์รับรองงาแดงอุบลราชธานี 1 ผลผลิตมากกว่า เท่ากับ 131 กก./ไร่ และงาดำอุบลราชธานี3 ได้ 101 กก./ไร่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเปรียบเทียบในไร่เกษตรกรทั้ง 2 ปี งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี1 ได้ผลผลิตมากกว่าสายพันธุ์ทนแล้งทุกพันธุ์ และมีเพียง 1 สายพันธุ์ทนแล้ง คือ สายพันธุ์SD-50-8-2 ที่ให้ผลผลิตเฉลี่ยมากกว่า งาดำพันธุ์อุบลราชธานี3

URL Reference :

(ดาวน์โหลด: 4 ครั้ง)

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 07-10-2568

แจ้งไฟล์หาย